RAIN...RAIN.....RAIN.....RAIN.....So sexy..So hot ..So cute...ect.........

padthai
[ 28-02-2010 - 10:01:07 ]









padthai
[ 28-02-2010 - 10:01:28 ]








padthai
[ 28-02-2010 - 10:02:27 ]









pack นินจา ..

credit benamo
padthai
[ 28-02-2010 - 10:03:06 ]








padthai
[ 28-02-2010 - 10:03:41 ]










taken by rain=cloud
padthai
[ 28-02-2010 - 10:04:48 ]









credit rainhk
padthai
[ 28-02-2010 - 19:19:39 ]







[Big Jump 2010]เรน "ผมเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการวางแผนและลงทุนมาอย่างรอบคอบ

เมื่อวันคริสต์ฺมาสอีฟปีที่แล้ว แฟน ๆ ของเรนจับจองเต็มหมด 4,000 ที่นั่งในห้องโคลอสเซียม โรงแรมซีซาร์พาเลซ เมืองลาสเวกัส เรารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของการยอมรับในตัวเรนในสหรัฐอเมริกา หลังจาก 3 ปีที่แล้วที่เขาเคยมาจัดคอนเสิร์ตในสหรัฐฯ มาครั้งนี้เขาได้มาจัดคอนเสิร์ต (Legend of Rainism) ในสหรัฐฯ อีกครั้ง ผู้ชมมีทั้งคนผิวขาว แฟนคลับจากจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ตลอดการแสดง 2 ชั่วโมง ท่วงท่า รอยยิ้มและการเต้นของเขา สะกดใจแฟน ๆ ไว้ได้อยู่หมัดและมีเสียงปรบมือตลอดเวลา

ไม่ใช่แค่ตัวเขาคนเดียว แต่แม้กระทั่งประชาชนทั่วไปก็มองว่า เรนคือสินค้าทางวัฒนธรรมชิ้นสำคัญ

เขาคือตัวอย่างโดดเด่นของนักร้องและนักแสดง ผู้ก้าวออกไปจากทวีิปเอเชียและประสบความสำเร็จในการทิ้งรอยเท้าไว้บนเวทีโลก

นอกจากเป็นนักเต้นที่ดีที่สุดในเกาหลีแล้ว เขายังตอกย้ำสถานะของการเป็นสตาร์แห่งเอเชียด้วยทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลก ตอนนี้เขาเป็นนักแสดงที่ดึงดูดความสนใจในฮอลลีวู้ด

เราพบเขาในห้องแต่งตัวก่อนคอนเสิร์ต

เราถามเขาว่า "ก่อนที่คุณจะกลายเป็นเวิลด์สตาร์ คุณเคยมีกิจกรรมในส่วนต่าง ๆ ของโลกมาแล้ว คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้?"

เขาตอบว่า "มันคืออำนาจของคอนเทนต์ทางวัฒนธรรม

"ผมอยากเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่ทรงอำนาจและมีอิทธิพล

"มีคนมากมายเริ่มหันมาเรียนภาษาเกาหลี เพราะอิทธิพลของศิลปินหรือละครเกาหลี มีบางที่ที่ถือว่าภาษาเกาหลีเป็นภาษาที่สอง ผมเคยคิดว่า สินค้าส่งออกที่สำคัญก็มีแค่รถยนต์ คอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ แต่ตอนนี้ผมคิดว่า สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจเกาหลีมากขึ้น เรียนรู้ภาษาของเรา เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวหรือการแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมทั้งจากสินค้าทางวัฒนธรรมด้วย"

เรนกล่าวต่อไปว่า "สินค้าทางวัฒนธรรมนั้นมีพลานุภาพเหนือกว่าอาวุธและความรุนแรง ในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นรุกรานเข้ามา ประชาชนคิดว่ามีเพียงจิตวิญญาณทางวัฒนธรรมเท่านั้นที่จะช่วยฟื้นฟูประเทศจากการถูกยึ
ดครอง มีคำพังเพยกล่าวว่า จิตวิญญาณทางวัฒนธรรมสามารถต่อกรกับอาวุธและความรุนแรงได้ ผมไม่แน่ใจว่าคำพังเพยนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอื่นหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถควบคุมเนื้อหาทางวัฒนธรรมไว้ได้ ก็ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่้งที่ร้ายกาจกว่าอาวุธและความรุนแรง"

เขายังเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "Ninja Assassin" ซึ่งเขาแสดงนำและประสบความสำเร็จในบ๊อกซ์ออฟฟิศ "ผมได้เดินทางและมีกิจกรรมในวอชิงตัน แอลเอ โทรอนโต ฯลฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ คนที่มาชมภาพยนตร์ต่างพากันพูดว่า 'ว้าว หนังเรื่องนี้มันส์มาก นักแสดงนำชื่ออะไรนะ?' แล้วคำถามต่อมาก็คือ 'เขาเป็นคนชาติไหน?'"

จากประสบการณ์นี้ เรนกล่าวว่า "ผมรู้สึกว่าผมมีภารกิจในการเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่ทรงพลัง"

"อดีตซีอีโอของบริษัท Taiyu (??ไม่แน่ใจเกี่ยวกับชื่อบริษัท) เคยพูดไว้ว่า ในอดีต 'โลกใบนี้ใหญ่มาก ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก' เนื่องจากผมได้ทำงานในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ผมจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาอย่างถ่องแท้ ผมควรเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีอำนาจและมีอิทธิพลอย่างแท้จริง ในตลาดด้านคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมนั้น สัญชาติหรือคำว่า 'Made in Korea' เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรมนุษย์จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศเรา หากมาตรฐานของคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น มันก็น่าจะมีส่วนช่วยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วย"

เขาเล็คเชอร์ต่อไปว่า "สิ่งที่เป็นตัวแทนของเกาหลีมากที่สุดไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตัวแทนของทั่วโ
ลกได้" เขาพบว่าการยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อและความเป็นเกาหลีคือสาเหตุที่ทำให้เขาล้มเหลว
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิถีทางที่ดีที่สุดคือการหลอมรวมแนวคิดของเกาหลีกับทั่วโลกเข้าด้วยกัน

"ตัวละครนินจาในหนังเรื่อง Ninja Assassin ถึงแม้เขาเป็นคนเอเชีย แต่ผู้กำกับชั้นยอดอย่างวาโชว์สกี้และทีมสตันท์รู้ดีว่า เราจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยการแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงสิ่งที่พิเศษและแตกต่าง"

การที่วัฒนธรรมเอเชียจะกลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลก ไม่ใช่เรื่องไกลเกินไปแล้ว

หากต้องการเทียบชั้นฮอลลีวู้ด เรนแสดงความคิดเห็นว่า "จริง ๆ แล้ว เราไม่สามารถเอาอย่างการปฏิบัติของหนังอเมริกันที่ลงทุนอย่างมโหฬารหรือมีตลาดขนาดให
ญ่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะลงทุน 1000 ล้านวอนเพื่อถ่ายหนังในเกาหลี เพราะนั่นหมายความว่าคนเกาหลีทุกคนต้องออกไปดูหนังเรื่องนั้นถึง 4 ครั้งกว่าหนังเรื่องนั้นจะคุ้มทุน"

อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่ามันจะมีข้อได้เปรียบหากเกาหลี จีนและญี่ปุ่นร่วมมือกันและวัดรอยเท้ากับสหรัฐฯ

"ถ้าเราหลอมรวมความอ่อนไหวและทรัพยากรมนุษย์ของเกาหลี ความละเอียดอ่อนและประณีตบรรจงในทุกรายละเอียดของญี่ปุ่น การลงทุนและประชากรอันมหาศาลในจีน ผลลัพธ์ก็อาจทรงพลังเพียงพอที่จะสู้กับฮอลลีวู้ด วัฒนธรรมที่มาจากสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงขาลง ตอนนี้เป็นเวลาของเอเชียหรือยุโรป (ต้นกำเนิดของแนวคิดใหม่ ๆ) ในอนาคต สตาร์จากเอเชียก็สามารถเป็นเวิลด์สตาร์ได้"

การเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์นี้ เรนวางแผนที่จะมีส่วนร่วมในละครร่วมสร้างระหว่างเกาหลี จีนและญี่ปุ่นที่จะลงมือสร้างในเดือนกรกฎาคมนี้ "ละครเรื่องนี้มีแผนที่จะออกฉายในเอเชียก่อน จากนั้นเราน่าจะดึงดูดเงินลงทุนจากเอเชียหรือแม้กระทั่งจากสหรัฐฯได้ จากนั้นเราก็สามารถลองสร้างละครที่มุ่งเป้าตลาดโลก ผมมองเห็นความเป็นไปได้สูงมากที่จะประสบความสำเร็จ"

เขาได้แนวคิดพวกนี้มาจากไหน? "ผมได้พบคนเก่ง ๆ มากมาย บางครั้งพวกเขาก็บอกว่า 'มันน่าจะดีนะถ้าได้สร้างเป็นซีรีย์ คุณอยากลองดูไหม?' แนวคิดค่อย ๆ สั่งสมมาแบบนี้ ผมยังได้ไอเดียมาจากการพบปะสังสรรค์กับนักลงทุนในอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมด้วย"

เรายังพูดถึงยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เขากล่าวว่า กระแสเกาหลีไม่มีทางคงอยู่ได้ ถ้ามันไม่หลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเต็มที่ "ในสมัยก่อน เช่นช่วงปลายทศวรรษ 1980 ตอนที่หนังอย่าง 'โหด เลว ดี' 'โหดตัดโหด' ซึ่งสะท้อนความไม่้มั่นคงทางสังคมในฮ่องกง นั่นเป็นตอนที่ผมเกิด ถึงแม้มีคนเกาหลีคาบไม้จิ้มฟันและเดินเลียนแบบ (ดาราในหนัง) ไปทั่ว แต่มันก็แค่นั้น ผมคิดว่าปัญหาหลัีกก็คือมันไม่ได้หลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ถ้าสมัยนั้น ศิลปินชาวฮ่องกงสามารถพูดภาษาเกาหลีหรือพูดอังกฤษคล่อง พวกเขาย่อมสามารถยึดพื้นที่ในฮอลลีวู้ดและเป็นที่นิยมมาจนถึงทุกวันนี้ได้

เพื่อไม่ให้ก้าวพลาดแบบนั้นอีก เรนจึงพยายามอย่างหนักในการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เขาจึงพยายามใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปในสหรัฐฯ ยุทธวิธีหลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ใช้ได้ทั้งในจีนและญีปุ่น "ถ้าคุณต้องการสื่อสารกับคนจีน คุณก็ต้องเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน ผมคิดว่าผมต้องเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นให้ได้ในระดัีบหนึ่งด้วย ผมวางแผนว่าจะเรียนให้มากขึ้นในปีนี้"

คนเราจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยความมานะอดทนและความภูมิใจในตัวเอง

เรนบอกว่าสำหรับตัวเขาแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายมีความสำคัญมากกว่ากระบวนการ ต่อให้คนเราพยายามทำอะไรแค่ไหน แต่ถ้าผลลัีพธ์ออกมาไม่ดี คนอื่น ๆ ก็จะแค่พูดว่าคน ๆ นั้นล้มเหลว ถ้าพูดโดยใช้หลักการตลาด "ผมคิดว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้ามันจำเป็นต้องทำให้ได้ขนาดไหน คุณก็ต้องทำให้ได้ขนาดนั้น ไม่ว่าคุณจะต้องอดทนกับความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม"

อะไรคือแรงบันดาลใจเบื้องหลังที่ทำให้เรนเป็นแบบนี้? เขาตอบทันทีว่า "แม่ของผม แม่สอนอะไรให้ผมมากมาย" เขาบอกว่าเขายังต้องเรียนรู้จาก JYP อีกเยอะด้วย

แล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหม? แน่นอน ยุทธศาสตร์และการลงทุนคือสิ่งจำเป็นที่ทำให้เรนเป็นเรนทุกวันนี้ "ตัวผมในฐานะสินค้าก็มียุทธศาสตร์และแผนการลงทุนของตัวเอง ผมเป็นสินค้าที่ 'ถูกสร้างขึ้น' ผมหวังว่าพวกคุณคงไม่มีทัศนะแง่ลบเมื่อได้ยินคำว่า 'สินค้า' ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะเป็นสินค้าที่มีพลังและมีอิทธิพล ผมต้องแข็งแกร่งและทรงพลัง ไม่อย่างนั้น ศิลปินรุ่นน้องจะต้องเจอเส้นทางขรุขระในภายภาคหน้าเป็นแน่"

ถึงแม้เขาบอกว่า เขาได้ทำฝันให้เป็นจริงมามากในชั่วเวลาสั้น ๆ แต่ก็ยังมีหนทางข้างหน้าอีกยาวไกล

"ผมหวังว่าในเวลาอีก 5-10 ปีข้างหน้า ผมจะได้เป็นนักแสดงใหญ่ที่เป็นหน้าตาของเอเชีย ดูเหมือนแฟน ๆ อยากให้ผมเป็นนักแสดงมากกว่านักร้อง"

เขายังมีความปรารถนาที่จะก่อตั้งมูลนิธิ

"ผมพยายามอย่างหนักที่จะหาเงินในตอนนี้ เพราะผมอยากก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมา ถึงแม้ผมไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ แต่ผมอยากก่อสร้างสถานที่สักแห่งในเกาหลี เพื่อให้เป็นสถาบันสำหรับสอนเด็ก ๆ ที่อยากร้องเพลง เต้นรำหรือเป็นนักแสดง"


English to Thai by Zhouyuyee@onlyrain//pantip.com
padthai
[ 28-02-2010 - 19:20:30 ]







[Big Jump 2010]เรน "ผมเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการวางแผนและลงทุนมาอย่างรอบคอบ

เมื่อวันคริสต์ฺมาสอีฟปีที่แล้ว แฟน ๆ ของเรนจับจองเต็มหมด 4,000 ที่นั่งในห้องโคลอสเซียม โรงแรมซีซาร์พาเลซ เมืองลาสเวกัส เรารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของการยอมรับในตัวเรนในสหรัฐอเมริกา หลังจาก 3 ปีที่แล้วที่เขาเคยมาจัดคอนเสิร์ตในสหรัฐฯ มาครั้งนี้เขาได้มาจัดคอนเสิร์ต (Legend of Rainism) ในสหรัฐฯ อีกครั้ง ผู้ชมมีทั้งคนผิวขาว แฟนคลับจากจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ตลอดการแสดง 2 ชั่วโมง ท่วงท่า รอยยิ้มและการเต้นของเขา สะกดใจแฟน ๆ ไว้ได้อยู่หมัดและมีเสียงปรบมือตลอดเวลา

ไม่ใช่แค่ตัวเขาคนเดียว แต่แม้กระทั่งประชาชนทั่วไปก็มองว่า เรนคือสินค้าทางวัฒนธรรมชิ้นสำคัญ

เขาคือตัวอย่างโดดเด่นของนักร้องและนักแสดง ผู้ก้าวออกไปจากทวีิปเอเชียและประสบความสำเร็จในการทิ้งรอยเท้าไว้บนเวทีโลก

นอกจากเป็นนักเต้นที่ดีที่สุดในเกาหลีแล้ว เขายังตอกย้ำสถานะของการเป็นสตาร์แห่งเอเชียด้วยทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลก ตอนนี้เขาเป็นนักแสดงที่ดึงดูดความสนใจในฮอลลีวู้ด

เราพบเขาในห้องแต่งตัวก่อนคอนเสิร์ต

เราถามเขาว่า "ก่อนที่คุณจะกลายเป็นเวิลด์สตาร์ คุณเคยมีกิจกรรมในส่วนต่าง ๆ ของโลกมาแล้ว คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้?"

เขาตอบว่า "มันคืออำนาจของคอนเทนต์ทางวัฒนธรรม

"ผมอยากเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่ทรงอำนาจและมีอิทธิพล

"มีคนมากมายเริ่มหันมาเรียนภาษาเกาหลี เพราะอิทธิพลของศิลปินหรือละครเกาหลี มีบางที่ที่ถือว่าภาษาเกาหลีเป็นภาษาที่สอง ผมเคยคิดว่า สินค้าส่งออกที่สำคัญก็มีแค่รถยนต์ คอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ แต่ตอนนี้ผมคิดว่า สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจเกาหลีมากขึ้น เรียนรู้ภาษาของเรา เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวหรือการแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมทั้งจากสินค้าทางวัฒนธรรมด้วย"

เรนกล่าวต่อไปว่า "สินค้าทางวัฒนธรรมนั้นมีพลานุภาพเหนือกว่าอาวุธและความรุนแรง ในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นรุกรานเข้ามา ประชาชนคิดว่ามีเพียงจิตวิญญาณทางวัฒนธรรมเท่านั้นที่จะช่วยฟื้นฟูประเทศจากการถูกยึ
ดครอง มีคำพังเพยกล่าวว่า จิตวิญญาณทางวัฒนธรรมสามารถต่อกรกับอาวุธและความรุนแรงได้ ผมไม่แน่ใจว่าคำพังเพยนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอื่นหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถควบคุมเนื้อหาทางวัฒนธรรมไว้ได้ ก็ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่้งที่ร้ายกาจกว่าอาวุธและความรุนแรง"

เขายังเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "Ninja Assassin" ซึ่งเขาแสดงนำและประสบความสำเร็จในบ๊อกซ์ออฟฟิศ "ผมได้เดินทางและมีกิจกรรมในวอชิงตัน แอลเอ โทรอนโต ฯลฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ คนที่มาชมภาพยนตร์ต่างพากันพูดว่า 'ว้าว หนังเรื่องนี้มันส์มาก นักแสดงนำชื่ออะไรนะ?' แล้วคำถามต่อมาก็คือ 'เขาเป็นคนชาติไหน?'"

จากประสบการณ์นี้ เรนกล่าวว่า "ผมรู้สึกว่าผมมีภารกิจในการเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่ทรงพลัง"

"อดีตซีอีโอของบริษัท Taiyu (??ไม่แน่ใจเกี่ยวกับชื่อบริษัท) เคยพูดไว้ว่า ในอดีต 'โลกใบนี้ใหญ่มาก ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก' เนื่องจากผมได้ทำงานในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ผมจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาอย่างถ่องแท้ ผมควรเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีอำนาจและมีอิทธิพลอย่างแท้จริง ในตลาดด้านคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมนั้น สัญชาติหรือคำว่า 'Made in Korea' เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรมนุษย์จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศเรา หากมาตรฐานของคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น มันก็น่าจะมีส่วนช่วยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วย"

เขาเล็คเชอร์ต่อไปว่า "สิ่งที่เป็นตัวแทนของเกาหลีมากที่สุดไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตัวแทนของทั่วโ
ลกได้" เขาพบว่าการยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อและความเป็นเกาหลีคือสาเหตุที่ทำให้เขาล้มเหลว
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิถีทางที่ดีที่สุดคือการหลอมรวมแนวคิดของเกาหลีกับทั่วโลกเข้าด้วยกัน

"ตัวละครนินจาในหนังเรื่อง Ninja Assassin ถึงแม้เขาเป็นคนเอเชีย แต่ผู้กำกับชั้นยอดอย่างวาโชว์สกี้และทีมสตันท์รู้ดีว่า เราจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยการแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงสิ่งที่พิเศษและแตกต่าง"

การที่วัฒนธรรมเอเชียจะกลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลก ไม่ใช่เรื่องไกลเกินไปแล้ว

หากต้องการเทียบชั้นฮอลลีวู้ด เรนแสดงความคิดเห็นว่า "จริง ๆ แล้ว เราไม่สามารถเอาอย่างการปฏิบัติของหนังอเมริกันที่ลงทุนอย่างมโหฬารหรือมีตลาดขนาดให
ญ่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะลงทุน 1000 ล้านวอนเพื่อถ่ายหนังในเกาหลี เพราะนั่นหมายความว่าคนเกาหลีทุกคนต้องออกไปดูหนังเรื่องนั้นถึง 4 ครั้งกว่าหนังเรื่องนั้นจะคุ้มทุน"

อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่ามันจะมีข้อได้เปรียบหากเกาหลี จีนและญี่ปุ่นร่วมมือกันและวัดรอยเท้ากับสหรัฐฯ

"ถ้าเราหลอมรวมความอ่อนไหวและทรัพยากรมนุษย์ของเกาหลี ความละเอียดอ่อนและประณีตบรรจงในทุกรายละเอียดของญี่ปุ่น การลงทุนและประชากรอันมหาศาลในจีน ผลลัพธ์ก็อาจทรงพลังเพียงพอที่จะสู้กับฮอลลีวู้ด วัฒนธรรมที่มาจากสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงขาลง ตอนนี้เป็นเวลาของเอเชียหรือยุโรป (ต้นกำเนิดของแนวคิดใหม่ ๆ) ในอนาคต สตาร์จากเอเชียก็สามารถเป็นเวิลด์สตาร์ได้"

การเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์นี้ เรนวางแผนที่จะมีส่วนร่วมในละครร่วมสร้างระหว่างเกาหลี จีนและญี่ปุ่นที่จะลงมือสร้างในเดือนกรกฎาคมนี้ "ละครเรื่องนี้มีแผนที่จะออกฉายในเอเชียก่อน จากนั้นเราน่าจะดึงดูดเงินลงทุนจากเอเชียหรือแม้กระทั่งจากสหรัฐฯได้ จากนั้นเราก็สามารถลองสร้างละครที่มุ่งเป้าตลาดโลก ผมมองเห็นความเป็นไปได้สูงมากที่จะประสบความสำเร็จ"

เขาได้แนวคิดพวกนี้มาจากไหน? "ผมได้พบคนเก่ง ๆ มากมาย บางครั้งพวกเขาก็บอกว่า 'มันน่าจะดีนะถ้าได้สร้างเป็นซีรีย์ คุณอยากลองดูไหม?' แนวคิดค่อย ๆ สั่งสมมาแบบนี้ ผมยังได้ไอเดียมาจากการพบปะสังสรรค์กับนักลงทุนในอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมด้วย"

เรายังพูดถึงยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เขากล่าวว่า กระแสเกาหลีไม่มีทางคงอยู่ได้ ถ้ามันไม่หลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเต็มที่ "ในสมัยก่อน เช่นช่วงปลายทศวรรษ 1980 ตอนที่หนังอย่าง 'โหด เลว ดี' 'โหดตัดโหด' ซึ่งสะท้อนความไม่้มั่นคงทางสังคมในฮ่องกง นั่นเป็นตอนที่ผมเกิด ถึงแม้มีคนเกาหลีคาบไม้จิ้มฟันและเดินเลียนแบบ (ดาราในหนัง) ไปทั่ว แต่มันก็แค่นั้น ผมคิดว่าปัญหาหลัีกก็คือมันไม่ได้หลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ถ้าสมัยนั้น ศิลปินชาวฮ่องกงสามารถพูดภาษาเกาหลีหรือพูดอังกฤษคล่อง พวกเขาย่อมสามารถยึดพื้นที่ในฮอลลีวู้ดและเป็นที่นิยมมาจนถึงทุกวันนี้ได้

เพื่อไม่ให้ก้าวพลาดแบบนั้นอีก เรนจึงพยายามอย่างหนักในการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เขาจึงพยายามใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปในสหรัฐฯ ยุทธวิธีหลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ใช้ได้ทั้งในจีนและญีปุ่น "ถ้าคุณต้องการสื่อสารกับคนจีน คุณก็ต้องเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน ผมคิดว่าผมต้องเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นให้ได้ในระดัีบหนึ่งด้วย ผมวางแผนว่าจะเรียนให้มากขึ้นในปีนี้"

คนเราจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยความมานะอดทนและความภูมิใจในตัวเอง

เรนบอกว่าสำหรับตัวเขาแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายมีความสำคัญมากกว่ากระบวนการ ต่อให้คนเราพยายามทำอะไรแค่ไหน แต่ถ้าผลลัีพธ์ออกมาไม่ดี คนอื่น ๆ ก็จะแค่พูดว่าคน ๆ นั้นล้มเหลว ถ้าพูดโดยใช้หลักการตลาด "ผมคิดว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้ามันจำเป็นต้องทำให้ได้ขนาดไหน คุณก็ต้องทำให้ได้ขนาดนั้น ไม่ว่าคุณจะต้องอดทนกับความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม"

อะไรคือแรงบันดาลใจเบื้องหลังที่ทำให้เรนเป็นแบบนี้? เขาตอบทันทีว่า "แม่ของผม แม่สอนอะไรให้ผมมากมาย" เขาบอกว่าเขายังต้องเรียนรู้จาก JYP อีกเยอะด้วย

แล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหม? แน่นอน ยุทธศาสตร์และการลงทุนคือสิ่งจำเป็นที่ทำให้เรนเป็นเรนทุกวันนี้ "ตัวผมในฐานะสินค้าก็มียุทธศาสตร์และแผนการลงทุนของตัวเอง ผมเป็นสินค้าที่ 'ถูกสร้างขึ้น' ผมหวังว่าพวกคุณคงไม่มีทัศนะแง่ลบเมื่อได้ยินคำว่า 'สินค้า' ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะเป็นสินค้าที่มีพลังและมีอิทธิพล ผมต้องแข็งแกร่งและทรงพลัง ไม่อย่างนั้น ศิลปินรุ่นน้องจะต้องเจอเส้นทางขรุขระในภายภาคหน้าเป็นแน่"

ถึงแม้เขาบอกว่า เขาได้ทำฝันให้เป็นจริงมามากในชั่วเวลาสั้น ๆ แต่ก็ยังมีหนทางข้างหน้าอีกยาวไกล

"ผมหวังว่าในเวลาอีก 5-10 ปีข้างหน้า ผมจะได้เป็นนักแสดงใหญ่ที่เป็นหน้าตาของเอเชีย ดูเหมือนแฟน ๆ อยากให้ผมเป็นนักแสดงมากกว่านักร้อง"

เขายังมีความปรารถนาที่จะก่อตั้งมูลนิธิ

"ผมพยายามอย่างหนักที่จะหาเงินในตอนนี้ เพราะผมอยากก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมา ถึงแม้ผมไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ แต่ผมอยากก่อสร้างสถานที่สักแห่งในเกาหลี เพื่อให้เป็นสถาบันสำหรับสอนเด็ก ๆ ที่อยากร้องเพลง เต้นรำหรือเป็นนักแสดง"


English to Thai by Zhouyuyee@onlyrain//pantip.com
padthai
[ 28-02-2010 - 19:22:01 ]







หวัดดีจ้า แฟนพี
padthai
[ 28-02-2010 - 19:24:06 ]







[Big Jump 2010]เรน "ผมเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการวางแผนและลงทุนมาอย่างรอบคอบ

เมื่อวันคริสต์ฺมาสอีฟปีที่แล้ว แฟน ๆ ของเรนจับจองเต็มหมด 4,000 ที่นั่งในห้องโคลอสเซียม โรงแรมซีซาร์พาเลซ เมืองลาสเวกัส เรารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของการยอมรับในตัวเรนในสหรัฐอเมริกา หลังจาก 3 ปีที่แล้วที่เขาเคยมาจัดคอนเสิร์ตในสหรัฐฯ มาครั้งนี้เขาได้มาจัดคอนเสิร์ต (Legend of Rainism) ในสหรัฐฯ อีกครั้ง ผู้ชมมีทั้งคนผิวขาว แฟนคลับจากจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ตลอดการแสดง 2 ชั่วโมง ท่วงท่า รอยยิ้มและการเต้นของเขา สะกดใจแฟน ๆ ไว้ได้อยู่หมัดและมีเสียงปรบมือตลอดเวลา

ไม่ใช่แค่ตัวเขาคนเดียว แต่แม้กระทั่งประชาชนทั่วไปก็มองว่า เรนคือสินค้าทางวัฒนธรรมชิ้นสำคัญ

เขาคือตัวอย่างโดดเด่นของนักร้องและนักแสดง ผู้ก้าวออกไปจากทวีิปเอเชียและประสบความสำเร็จในการทิ้งรอยเท้าไว้บนเวทีโลก

นอกจากเป็นนักเต้นที่ดีที่สุดในเกาหลีแล้ว เขายังตอกย้ำสถานะของการเป็นสตาร์แห่งเอเชียด้วยทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลก ตอนนี้เขาเป็นนักแสดงที่ดึงดูดความสนใจในฮอลลีวู้ด

เราพบเขาในห้องแต่งตัวก่อนคอนเสิร์ต

เราถามเขาว่า "ก่อนที่คุณจะกลายเป็นเวิลด์สตาร์ คุณเคยมีกิจกรรมในส่วนต่าง ๆ ของโลกมาแล้ว คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้?"

เขาตอบว่า "มันคืออำนาจของคอนเทนต์ทางวัฒนธรรม

"ผมอยากเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่ทรงอำนาจและมีอิทธิพล

"มีคนมากมายเริ่มหันมาเรียนภาษาเกาหลี เพราะอิทธิพลของศิลปินหรือละครเกาหลี มีบางที่ที่ถือว่าภาษาเกาหลีเป็นภาษาที่สอง ผมเคยคิดว่า สินค้าส่งออกที่สำคัญก็มีแค่รถยนต์ คอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ แต่ตอนนี้ผมคิดว่า สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจเกาหลีมากขึ้น เรียนรู้ภาษาของเรา เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวหรือการแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมทั้งจากสินค้าทางวัฒนธรรมด้วย"

เรนกล่าวต่อไปว่า "สินค้าทางวัฒนธรรมนั้นมีพลานุภาพเหนือกว่าอาวุธและความรุนแรง ในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นรุกรานเข้ามา ประชาชนคิดว่ามีเพียงจิตวิญญาณทางวัฒนธรรมเท่านั้นที่จะช่วยฟื้นฟูประเทศจากการถูกยึ
ดครอง มีคำพังเพยกล่าวว่า จิตวิญญาณทางวัฒนธรรมสามารถต่อกรกับอาวุธและความรุนแรงได้ ผมไม่แน่ใจว่าคำพังเพยนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอื่นหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถควบคุมเนื้อหาทางวัฒนธรรมไว้ได้ ก็ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่้งที่ร้ายกาจกว่าอาวุธและความรุนแรง"

เขายังเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "Ninja Assassin" ซึ่งเขาแสดงนำและประสบความสำเร็จในบ๊อกซ์ออฟฟิศ "ผมได้เดินทางและมีกิจกรรมในวอชิงตัน แอลเอ โทรอนโต ฯลฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ คนที่มาชมภาพยนตร์ต่างพากันพูดว่า 'ว้าว หนังเรื่องนี้มันส์มาก นักแสดงนำชื่ออะไรนะ?' แล้วคำถามต่อมาก็คือ 'เขาเป็นคนชาติไหน?'"

จากประสบการณ์นี้ เรนกล่าวว่า "ผมรู้สึกว่าผมมีภารกิจในการเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่ทรงพลัง"

"อดีตซีอีโอของบริษัท Taiyu (??ไม่แน่ใจเกี่ยวกับชื่อบริษัท) เคยพูดไว้ว่า ในอดีต 'โลกใบนี้ใหญ่มาก ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก' เนื่องจากผมได้ทำงานในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ผมจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาอย่างถ่องแท้ ผมควรเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีอำนาจและมีอิทธิพลอย่างแท้จริง ในตลาดด้านคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมนั้น สัญชาติหรือคำว่า 'Made in Korea' เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรมนุษย์จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศเรา หากมาตรฐานของคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น มันก็น่าจะมีส่วนช่วยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วย"

เขาเล็คเชอร์ต่อไปว่า "สิ่งที่เป็นตัวแทนของเกาหลีมากที่สุดไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตัวแทนของทั่วโ
ลกได้" เขาพบว่าการยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อและความเป็นเกาหลีคือสาเหตุที่ทำให้เขาล้มเหลว
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิถีทางที่ดีที่สุดคือการหลอมรวมแนวคิดของเกาหลีกับทั่วโลกเข้าด้วยกัน

"ตัวละครนินจาในหนังเรื่อง Ninja Assassin ถึงแม้เขาเป็นคนเอเชีย แต่ผู้กำกับชั้นยอดอย่างวาโชว์สกี้และทีมสตันท์รู้ดีว่า เราจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยการแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงสิ่งที่พิเศษและแตกต่าง"

การที่วัฒนธรรมเอเชียจะกลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลก ไม่ใช่เรื่องไกลเกินไปแล้ว

หากต้องการเทียบชั้นฮอลลีวู้ด เรนแสดงความคิดเห็นว่า "จริง ๆ แล้ว เราไม่สามารถเอาอย่างการปฏิบัติของหนังอเมริกันที่ลงทุนอย่างมโหฬารหรือมีตลาดขนาดให
ญ่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะลงทุน 1000 ล้านวอนเพื่อถ่ายหนังในเกาหลี เพราะนั่นหมายความว่าคนเกาหลีทุกคนต้องออกไปดูหนังเรื่องนั้นถึง 4 ครั้งกว่าหนังเรื่องนั้นจะคุ้มทุน"

อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่ามันจะมีข้อได้เปรียบหากเกาหลี จีนและญี่ปุ่นร่วมมือกันและวัดรอยเท้ากับสหรัฐฯ

"ถ้าเราหลอมรวมความอ่อนไหวและทรัพยากรมนุษย์ของเกาหลี ความละเอียดอ่อนและประณีตบรรจงในทุกรายละเอียดของญี่ปุ่น การลงทุนและประชากรอันมหาศาลในจีน ผลลัพธ์ก็อาจทรงพลังเพียงพอที่จะสู้กับฮอลลีวู้ด วัฒนธรรมที่มาจากสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงขาลง ตอนนี้เป็นเวลาของเอเชียหรือยุโรป (ต้นกำเนิดของแนวคิดใหม่ ๆ) ในอนาคต สตาร์จากเอเชียก็สามารถเป็นเวิลด์สตาร์ได้"

การเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์นี้ เรนวางแผนที่จะมีส่วนร่วมในละครร่วมสร้างระหว่างเกาหลี จีนและญี่ปุ่นที่จะลงมือสร้างในเดือนกรกฎาคมนี้ "ละครเรื่องนี้มีแผนที่จะออกฉายในเอเชียก่อน จากนั้นเราน่าจะดึงดูดเงินลงทุนจากเอเชียหรือแม้กระทั่งจากสหรัฐฯได้ จากนั้นเราก็สามารถลองสร้างละครที่มุ่งเป้าตลาดโลก ผมมองเห็นความเป็นไปได้สูงมากที่จะประสบความสำเร็จ"

เขาได้แนวคิดพวกนี้มาจากไหน? "ผมได้พบคนเก่ง ๆ มากมาย บางครั้งพวกเขาก็บอกว่า 'มันน่าจะดีนะถ้าได้สร้างเป็นซีรีย์ คุณอยากลองดูไหม?' แนวคิดค่อย ๆ สั่งสมมาแบบนี้ ผมยังได้ไอเดียมาจากการพบปะสังสรรค์กับนักลงทุนในอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมด้วย"

เรายังพูดถึงยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เขากล่าวว่า กระแสเกาหลีไม่มีทางคงอยู่ได้ ถ้ามันไม่หลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเต็มที่ "ในสมัยก่อน เช่นช่วงปลายทศวรรษ 1980 ตอนที่หนังอย่าง 'โหด เลว ดี' 'โหดตัดโหด' ซึ่งสะท้อนความไม่้มั่นคงทางสังคมในฮ่องกง นั่นเป็นตอนที่ผมเกิด ถึงแม้มีคนเกาหลีคาบไม้จิ้มฟันและเดินเลียนแบบ (ดาราในหนัง) ไปทั่ว แต่มันก็แค่นั้น ผมคิดว่าปัญหาหลัีกก็คือมันไม่ได้หลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ถ้าสมัยนั้น ศิลปินชาวฮ่องกงสามารถพูดภาษาเกาหลีหรือพูดอังกฤษคล่อง พวกเขาย่อมสามารถยึดพื้นที่ในฮอลลีวู้ดและเป็นที่นิยมมาจนถึงทุกวันนี้ได้

เพื่อไม่ให้ก้าวพลาดแบบนั้นอีก เรนจึงพยายามอย่างหนักในการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เขาจึงพยายามใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปในสหรัฐฯ ยุทธวิธีหลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ใช้ได้ทั้งในจีนและญีปุ่น "ถ้าคุณต้องการสื่อสารกับคนจีน คุณก็ต้องเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน ผมคิดว่าผมต้องเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นให้ได้ในระดัีบหนึ่งด้วย ผมวางแผนว่าจะเรียนให้มากขึ้นในปีนี้"

คนเราจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยความมานะอดทนและความภูมิใจในตัวเอง

เรนบอกว่าสำหรับตัวเขาแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายมีความสำคัญมากกว่ากระบวนการ ต่อให้คนเราพยายามทำอะไรแค่ไหน แต่ถ้าผลลัีพธ์ออกมาไม่ดี คนอื่น ๆ ก็จะแค่พูดว่าคน ๆ นั้นล้มเหลว ถ้าพูดโดยใช้หลักการตลาด "ผมคิดว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้ามันจำเป็นต้องทำให้ได้ขนาดไหน คุณก็ต้องทำให้ได้ขนาดนั้น ไม่ว่าคุณจะต้องอดทนกับความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม"

อะไรคือแรงบันดาลใจเบื้องหลังที่ทำให้เรนเป็นแบบนี้? เขาตอบทันทีว่า "แม่ของผม แม่สอนอะไรให้ผมมากมาย" เขาบอกว่าเขายังต้องเรียนรู้จาก JYP อีกเยอะด้วย

แล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหม? แน่นอน ยุทธศาสตร์และการลงทุนคือสิ่งจำเป็นที่ทำให้เรนเป็นเรนทุกวันนี้ "ตัวผมในฐานะสินค้าก็มียุทธศาสตร์และแผนการลงทุนของตัวเอง ผมเป็นสินค้าที่ 'ถูกสร้างขึ้น' ผมหวังว่าพวกคุณคงไม่มีทัศนะแง่ลบเมื่อได้ยินคำว่า 'สินค้า' ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะเป็นสินค้าที่มีพลังและมีอิทธิพล ผมต้องแข็งแกร่งและทรงพลัง ไม่อย่างนั้น ศิลปินรุ่นน้องจะต้องเจอเส้นทางขรุขระในภายภาคหน้าเป็นแน่"

ถึงแม้เขาบอกว่า เขาได้ทำฝันให้เป็นจริงมามากในชั่วเวลาสั้น ๆ แต่ก็ยังมีหนทางข้างหน้าอีกยาวไกล

"ผมหวังว่าในเวลาอีก 5-10 ปีข้างหน้า ผมจะได้เป็นนักแสดงใหญ่ที่เป็นหน้าตาของเอเชีย ดูเหมือนแฟน ๆ อยากให้ผมเป็นนักแสดงมากกว่านักร้อง"

เขายังมีความปรารถนาที่จะก่อตั้งมูลนิธิ

"ผมพยายามอย่างหนักที่จะหาเงินในตอนนี้ เพราะผมอยากก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมา ถึงแม้ผมไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ แต่ผมอยากก่อสร้างสถานที่สักแห่งในเกาหลี เพื่อให้เป็นสถาบันสำหรับสอนเด็ก ๆ ที่อยากร้องเพลง เต้นรำหรือเป็นนักแสดง"


English to Thai by Zhouyuyee@onlyrain//pantip.com
padthai
[ 28-02-2010 - 19:26:36 ]







สัมภาษณ์รายการ “Fuji TV-Kantame” วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2006


Credit: Baidu.com// jinlees@soompi
Kr to Ch: moritayoshi@biwithrain
Ch to Eng: Rayndrop
Eng to Tha: Ririn


พิธีกร – ตอนนี้ลองนึกย้อนกลับไป คุณมีช่วงเวลาไหนบ้างที่รู้สึกว่านี่แหละเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆสำหรับคุณ



พี – ย้อนไปปี 1999 ผมโตมาในครอบครัวที่มีอันจะกิน แต่หลังจากที่ผมอยู่ไฮสคูลปีที่สาม ฐานะครอบครัวของผมก็เริ่มแย่ลง เราประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ไม่มีเงินแต่แต่จะรักษาแม่ที่กำลังป่วยหนัก แล้วแม่ก็จากไปในเวลาไม่นานนัก จากนั้นทั้งพ่อ ทั้งน้อง ทุกคนก็เดินทางใครทางมัน ผมเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในสตูดิโอเต้นรำ ระหว่างช่วงเวลาที่หนาวเย็นที่สุดของฤดูหนาว ผมต้องนอนบนเตียงโดยที่ไม่มีผ้าห่ม หลังจากการฝึก ผมเข้านอนทั้งๆที่เหงื่อท่วมตัวโดยไม่อาบน้ำ ในเมื่อไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวเรื่องอาบน้ำคงไม่ต้องพูดถึง
ห้าวันเต็มๆที่ผมใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินซื้อข้าวและไม่มีผ้าห่ม เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดจริงๆ ผมต่อสู้กับความหิวโหยด้วยความตั้งใจและความมุ่งมั่น ประสบการณ์นั้นกลายมาเป็นกำลังให้ผมยืนหยัดอยู่จนทุกวันนี้ ทำให้ผม ทำงานหนักและรักษามันไว้ ยังมีช่วงเวลาคริสมาสต์ที่ผมป่วยเป็นไข้หวัดเนื่องจากไม่ได้อาบน้ำอุ่น
ตอนนี้ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรที่ผมต้องเจอ ผมจะคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น เพราะปัญหาที่เผชิญอยู่จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันที


พิธีกร- คุณช่วยแบ่งปันความมุ่งหวังและความฝันในอนาคตข้างหน้ากับเราหน่อยได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเรนหรือในฐานะที่เป็นตัวของคุณเอง


– คุณเกิดมาครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นผมกลัวความผิดหวังและพยายามที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จเร็วๆ คุณไม่สามารถหยุดหรือย้อนเวลาได้ ดังนั้นผมจึงทำงานหนักทุกๆวินาทีของชีวิตผม ถ้าผมคิดแบบนี้ ความฝันของผมก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มแรก ความฝันของผมคือแค่เต้นให้ดีที่สุด หลังจากที่สำเร็จแล้วขั้นต่อไปก็ร้องเพลงให้ดี ความฝันนี้ก็เป็นจริงแล้ว อย่างที่สามคือการเป็นนักร้อง และตามมาด้วยอย่างที่สี่คือการได้รับรางวัล อย่างที่ห้าคือเปิดตลาดที่ใหญ่ขึ้น แบบนั้นความฝันของผมก็เริ่มมากขึ้นจนถึงเดี๋ยวนี้ และแน่นอนในความสำเร็จนั้น ผมต้องเตือนตัวเองไม่ให้เหลิง ผมอยากจะลองดูว่าที่สุดของคนๆหนึ่งจะสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้บ้าง และจะก้าวไปได้ไกลที่สุดแค่ไหน วันไหนผมตายไป ผมจะลองย้อนกลับมาดูว่าผมล้มเหลวหรือทำอะไรสำเร็จไปบ้าง ผมไม่ใส่ใจว่าอย่างไหนจะมากกว่ากันแต่ผมต้องการเพียงจะรับรู้ว่ผมได้ทำดีที่สุดที่จะ


นำพาชีวิตไปในทางที่ดี ตราบเท่าที่ยังมีสิ่งที่ผมทำได้ ผมก็จะทำ ผมจะท้าทายมัน ท้าทายในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้


***** นี่แหละเค้าหละ จองจีฮุน ผู้ที่เลือกไม่ยึดทางสายกลาง******


ข่าวนานแร้ววว แต่ ประทับใจ เก็บไว้อ่าน..

เวลา ท้อแท้..

รัก จีฮุน จัง..


////////////////////////////////////////



060203 FujiTV_kantame 2




padthai
[ 01-03-2010 - 21:16:21 ]







หวัดดีจ้า แฟนพี

พี่กานต ยังอยู่ป่าวค๊า
padthai
[ 01-03-2010 - 21:16:53 ]







อานนี้ตัวใหญ่จ้า..เต็มจอเรย

padthai
[ 01-03-2010 - 21:19:26 ]







Mnet RainyDay 4
padthai
[ 01-03-2010 - 21:19:43 ]







padthai
[ 01-03-2010 - 21:19:54 ]







padthai
[ 01-03-2010 - 21:20:05 ]







padthai
[ 01-03-2010 - 21:20:19 ]







padthai
[ 01-03-2010 - 21:20:38 ]







padthai
[ 01-03-2010 - 21:20:48 ]







ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้

เว็บนี้มีการใช้งาน cookie
ยอมรับ
ไม่ยอมรับ